วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Host Family Letter


แนวทางการเขียนจดหมายถึงโฮสแฟมิลี่

- สำหรับออแพร์
- สำหรับนักเรียนที่มาเรียนต่อ หรือมาโครงการแลกเปลี่ยนอื่นๆ มาอยู่กับครอบครัวอุปถัมป์ 
--------------------------------------------------------------

ข้อมูลนำมาจากพี่โต้ง/ธนเดช แห่ง YES
การเขียนจดหมาย Dear Host นี่สำคัญ  ขอให้ตั้งใจเขียนให้ดีๆ


ข้อมูลควรเริ่มต้นจาก

- การแนะนำตนเอง/แนะนำครอบครัวของตน/ใครเป็นใคร ทำอะไรบ้างในบ้าน
- นักเรียนควรแนะนำเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียน/วิชาการ/กิจกรรม
- แนะนำเกี่ยวกับงานอดิเรก/กิจกรรมที่ชอบทำ/สิ่งที่ชอบ
- แนะนำประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ประทับใจ น่าสนใจ ของตนเอง
- แนะนำการเข้าสังคม การปรับตัว การเข้าร่วมกิจกรรมสังคมต่างๆ
- อธิบายสาเหตุของการเข้าร่วมโครงการ
- แนะนำเป้าหมายในอนาคตพร้อมเหตุผล


ขอบคุณภาพจาก บีเลิฟ เอเจนซี่ออแพร์



ตัวอย่างการเขียนจดหมายแนะนำตัวถึงโฮสต์แฟมิลี่ ใช้ภาษาดีมาก ถูกใจ
น่าสนใจ เป้าหมายการเขียนชัดเจน

เป็นไกด์ไลน์ให้สำหรับคนที่เขียนจดหมาย ไม่ว่าจะไปเรียนต่อ แลกเปลี่ยน หรือออแพร์ แต่ออแพร์รูปแบบการเขียนง่ายกว่านี้ แนะนำสำหรับออแพร์เขียนไม่ต้องเวิ่นเว้อ ใช้ภาษาอลังการ เอารูปแบบง่ายๆ เข้าใจง่าย วัตถุประสงค์ชัดเจน
Cr. Jay Kornnatt Surapat เป็นเพื่อนของเพื่อน และเป็นเพื่อนเฟส ทำกิจกรรมอะไรดีๆ เยอะ เป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง

(1)




(2)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------









Switching a Different Visa.

ออแพร์กับการเปลี่ยนสถานะวีซ่า


ที่เคยบอกว่าการเปลี่ยนวีซ่าสำหรับออแพร์เป็นนักเรียนไม่ค่อยแนะนำ เพราะพอเรากลับไทยมาแล้ว อยากมาเมกาใหม่มันยากก...
ยกเว้นแต่แต่งงานมีเป็นพลเมืองที่นั่นไปเลย แต่ส่วนใหญ่อยากอยู่ต่อ เพื่อทำงาน เรียน ทำอะไรที่อยากทำ จึงทำเรื่องเป็นวีซ่านักเรียนแบบ F-1 ที่อเมริกาเลย (ตามกฎต้องกลับมายื่นเรื่องที่ไทย)

ข้อดี 

1.ประหยัดค่าตั๋วเครื่องบิน (สมมติว่าออกจากโครงการ ไม่จบออแพร์ เราไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว) แต่ถ้าจบ เอเจนซี่ออกตั๋วให้ ไม่ต้องห่วง ได้ใบประกาศอีกว่าจบโครงการ
2.ชะลอเวลาทำในสิ่งที่เราอยากทำได้ เช่นบางคนไม่อยากกลับเพราะอยากเรียนจริงๆ บางคนก็อยากโดดเพื่ออยู่ต่อ หาลู่ทางทำอย่างอื่น หรือหางานเพื่อ Make Money
3.เปลี่ยนวีซ่าแล้วก้อได้เรียนภาษาอังกฤษหลักสูตร ESL ปรับพื้นฐาน มีสถานะปกติ นักเรียน F-1 สามารถทำงานได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ใน On Campus เท่านั้น รับเป็นเช็คได้
-------------------------------------------------------------------------------------

ข้อเสีย

1.ไม่จบโครงการไม่ได้ใบประกาศ เสียเครดิต เวลาเข้ามาอเมริกาอีกครั้งด้วยวีซ่าใดๆ เข้ายากมาก
2.กรณีจำเป็นที่เราต้องกลับมาประเทศไทยแบบเร่งด่วนหรือเหตุจำเป็นอื่นๆ เมื่อเราออกจากอเมริกาแล้ว โอกาสเข้ามาอีกทียากสุดๆ แม้เราจะมีสถานะเป็นนักเรียนก็ตาม
3.ค่าเล่าเรียนที่ต้องออกเองอีก ไหนจะเรียนไหนจะทำงาน ถ้าทำงานได้เสมอกับเรียนก้อโอเค แต่เหนื่อยมากก ตังค์เก็บไม่ค่อยมีอีก ไหนจะค่าที่อยู่อาศัย ค่าบ้าน ค่าเรียน ยกเว้นแต่โฮสเป็นสปอนเซอร์ (แต่ยังไงก็เสียเครดิตอยู่ดี)
4.การทำงาน ถ้าไปทำงานอื่นนอกจากงานแคมปัส ต้องรับเป็นเงินสดเท่านั้นถ้าโดนจับได้ ยาว ติดเรคคอร์ด
5.เรียนก็คือเรียนจริงๆ ถ้าไม่เรียน ยกเลิกการเรียนวีซ่าขาด...ทันที....
6.เมื่อเรียนจบแล้ว ยังไงก็ต้องกลับไทยอยู่ดี ถ้าต้องดิ้นรนอยู่ต่ออีก ต้องทำเรื่องเยอะ... สู้จนสายตัวขาด เหนื่อย

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโอกาส และจังหวะด้วย บางคนรอด บางคนไม่รอด บางคนรอด แต่ก็กัดฟันสู้น่าดู บางคนไม่รอดถูกส่งกลับ ประวัติลิงค์กันหมดทั่วอเมริกา เสียประวัติ

หลายคนก็ไปด้วยดี หลายคนก็ต้องกลับ แต่ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ ใครตั้งใจที่จะเรียนจริงๆ เอาจริงๆ เปลี่ยนวีซ่า จริงจัง ตั้งใจ น่าสนับสนุนนะ... บางคนทำได้จริงๆ มีความตั้งใจ ทั้งหมดเรียก "ประสบการณ์"
--------------------------------------------------------------------------

         ภาพประกอบจากเว็บ gousavisacenter.com/




Different between Work and Travel and Aupair


ความแตกต่างระหว่าง  work and travel กับ Au pair 

work and travel ต่างจากออแพร์ ตรงที่การกลับเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง กลับมาอีก 2 ครั้งยังได้ ไม่มีกฎห้าม

การทำงานของ work and travel ห้ามเป็นคนสวน พี่เลี้ยงเด็ก ทำงานตามบ้าน แต่ทำกับบริษัท ร้านค้า องค์กร โรงแรมได้หมด

ส่วนออแพร์ ต้องมีนายจ้างเดียว ทำกะโฮสห้ามทำกะนายจ้างอื่น และกลับมาเป็นออแพร์อเมริกาอีกครั้ง ไม่ได้ ออแพร์อเมริกาเป็นได้ครั้งเดียว แถมติดกฎ 2 ปีอีก (ไม่เคยได้ยินว่าออแพร์เมกาเป็นได้แล้วเป็นอีก ไม่เคยเห็นตัวอย่าง)




Visa Questions and Answers.


ถามตอบ 5 ข้อ เกี่ยวกับวีซ่าอเมริกา

โครงการแลกเปลี่ยนเช่นออแพร์ เวริ์ค เทรนนิ่ง ฯลฯ ใช้ได้หมด

1.ได้รับวีซ่าแล้วควรออกเดินทางเมื่อไหร่
ตอบ วีซ่าจะออกให้เมื่อไหร่ก็ตาม เราสามารถเดินทางได้ล่วงหน้า 30 วัน ก่อนวันเริ่มต้นโปรแกรมที่ระบุไว้ใน ฟอร์ม DS-2019

2.ระบบ ระบบ SEVIS (ซีวิส) คืออะไร
ตอบ  ย่อมาจาก  Student and Exchange Visitor Information System (SEVIS) เป็นระบบฐานข้อมูลแบบออนไลน์ นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการฯ ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะต้องชำระก่อนที่จะสัมภาษณ์วีซ่า

3.กฏ 2 ปีคืออะไร คนที่มาอเมริกาแล้วจะรู้จักตัวนี้อย่างดี 
ตอบ ตามกฎสำหรับผู้มาแลกเปลี่ยนต้องกลับประเทศและพำนักบ้านเกิดตัวเองเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะไปอเมริกาได้อีกครั้ง

4.อยากเปลี่ยนสถานะวีซ่าจาก J-1 เป็นสถานะวีซ่าอื่นทำยังไง ตอนอยู่อเมริกา
ตอบ ต้องดูว่าวีซ่าที่เราจะเปลี่ยนนั้น ติดเงื่อนไขของกฎ 2 ปี หรือเปล่า สถานทูตจะพิจารณาหลายอย่างว่าเปลี่ยนได้หรือไม่ แต่ถ้ามีเงินโชว์พอ หรือเครื่องแสดงสถานะที่มั่นคง อาจได้รับการยกเว้น

5.กฎ 2 ปียกเว้นได้มั้ย
ตอบ บางกรณี เช่นเปลี่ยนเป็นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน วีซ่าถาวร ขึ้นอยู่กับสำนักวีซ่าของกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ตัดสินใจ

*** วีซ่าเปลี่ยนสถานะได้แต่ไม่แนะนำ
*** ออแพร์แต่งงานได้ แต่ผิดสถานะของการเป็นออแพร์ (อย่าว่าแต่อเมริกาเลย ประเทศที่เค้าเข้มงวดก็ประมาณนี้เหมือนกัน)


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต 







J-1 Visa and DS - 2019



ว่าด้วยเรื่อง J-1 Visa 

วีซ่าตัวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าประเทศอเมริกา เป็นวีซ่าสำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน Exchange Program เช่น โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม AFS, Au pair, work and travel, Work and study, Internship

วีซ่านี้มีกฏสำคัญที่สุดคือ
"อเมริกาคาดหวังว่าผู้ที่ไปวีซ่านี้ ต้องเดินทางกลับประเทศทันทีหลังจากที่จบโครงการ"

หัวใจสำคัญของการขอวีซ่าเข้าประเทศอเมริกา เค้าจะถามว่า คุณจะกลับมาป่ะ... ต้องตอบว่ากลับ อย่าตอบว่าไม่กลับหรือชั้นจะอยู่ต่อ เปลี่ยนสถานะเป็นวีซ่านักเรียน เพราะจะโดนแบน โดนเบรกวีซ่าทันที

J-1 คือ วีซ่าสำหรับผู้มีสปอนเซอร์ จากโครงการใดโครงการหนึ่ง (สปอนเซอร์ของออแพร์คือ ชื่อเอเจนซี่ในต่างประเทศที่เราสังกัด และดีลกับเอเจนซี่ไทย) ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดหลังจบโครงการ
*** ระยะเวลาการอยู่ในสหรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขึ้นอยู่กับ I20/DS-2019
*** ใบ I20/DS-2019 จะถูกเย็บติดกับพลาสปอร์ตด้านหลัง แผ่นยาวๆ

ภาพตัวอย่างประกอบ ตรงหมายเลขพลาสปอร์ต ต้องมีเลขนะ...อันนี้ตัวอย่างเค้าทำไว้ขำๆ แต่หน้าตาเป็นแบบนี้แหละ อ้อลืม... ภาพถ่ายต้องเห็นหู...จำไว้เห็นหู...


ขอบคุณภาพจาก
 www.frenchdistrict.com/






การขอ DS 2019 เป็นเอกสารที่ทรงพลังมาก 

*** ระยะเวลาการอยู่ในสหรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขึ้นอยู่กับ I20/DS-2019
*** ต่อให้วีซ่าเราหมดอายุ แต่เราอยู่ต่อได้โดยไม่ผิดกฎหมาย อยู่ในสถานะนักเรียนได้ ถ้า I20/DS-2019 หมดอายุ ต้องออกนอกประเทศทันที

DS 2019 

คือ เอกสารที่ออกโดยสถานศึกษาที่ตอบรับให้นักเรียนเข้าศึกษา หรือ
ได้รับอนุญาตให้อยู่ในสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาตามหลักสูตร (หรือตามระยะเวลาโครงการแลกเปลี่ยน)

***สำคัญมาก เมื่อได้รับแล้ว ต้องถ่ายเอกสารไว้ ถ้าเอกสารหายโดยเฉพาะตัวนี้ มันยุ่งยากมาก ปวดหัวเลยแหละ



ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ตัวอย่าง DS 2019






Au pair is not "cleaning woman" ออแพร์ไม่ใช่แม่บ้าน


ว่าด้วยเรื่องออแพร์ต่อ "ออแพร์ไม่ใช่ cleaning woman"

เรื่องงานบ้าน - ออแพร์ในอเมริกาไม่ต้องทำงานบ้าน แต่ออแพร์ในยุโรปทำงานบ้านเบาๆ ต่างกันตรงนี้.... แต่สิ่งสำคัญออแพร์ไม่ได้เกิดมาเพื่้อเป็นพนักงานทำความสะอาด แม่บ้าน หรือคนใช้ อันนี้ต้องเคลียร์ โฮสแฟมิลี่หลายคนไม่เคลียร์เรื่องนี้ ให้ออแพร์ทำโน่นนี่นั่นเยอะเกินหน้าที่ ส่วนออแพร์เองก็ไม่เคลียร์ คิดว่าช่วยนิดหน่อยก้อช่วยไป ไม่หนัก แต่บ่อยเกินไป เริ่มและ ออแพร์เริ่มอึดอัด และโฮสก้อใช้งานออแพร์มากขึ้น

เพราะอะไร----- เพราะเค้าเห็นว่าเราไม่ว่าอะไร ไม่พูดอะไร เค้าเลยไหว้วานใช้เราบ่อยๆ
หน้าที่ของออแพร์ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง งานหลักต้องเป็นงานเลี้ยงเด็ก ไม่ใช่มาทำงานบ้าน

ชัดๆ เคลียร์ๆ 

- ออแพร์ไม่ได้เป็นแม่บ้าน
- ออแพร์ไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน แต่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง
- รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะแตกต่างกันตามแต่ละครอบครัว แต่เหมือนกันคือดูแลเด็ก

ถ้าออแพร์ต้องทำความสะอาด ตัวอย่าง 

- ทำความสะอาดตอนเด็กกินอาหารเสร็จ ทำความสะอาด ภาชนะ โต๊ะ เก้าอี้ ครัว
- ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องนอน ของเด็ก

หรือบางอย่างเป็นงานบ้านที่ออแพร์ทำได้ เช่น 
- หลังอาหารเย็น กินข้าวร่วมกันกับโฮส ปกติทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ออแพร์ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร เอาจานชามโหลดเข้าไปในเครื่องล้างจาน เล็กๆ น้อยๆ ออแพร์ทำได้ เป็นสิ่งที่สมาชิกช่วยเหลือกันในบ้าน ไม่จัดว่าเป็นหน้าที่หรืองานของออแพร์
- หรือทำความสะอาดห้องนอนที่อยู่ของเรา หรือใช้ครัวร่วมกันกับโฮส ก็ต้องทำความสะอาดที่อยู่ที่อาศัย

แต่ถ้าโฮสใช้งานมากเกินไป ควรจะพูดกับโฮสทำความเข้าใจ ตกลงกันใหม่ พูดคุยทั้งโฮสแด๊ด โฮสมัม ว่างานของออแพร์มีอะไร ต้องทำอะไร อันไหนทำไหว อันไหนทำไม่ไหว อยากให้โฮสช่วยอะไร ตรงนี้คุยได้ ถ้าไม่คุย เค้าก้อจะใช้เราเรื่อยๆ หัวปรักหัวปรำ

*** นิสัยของฝรั่งเลย ถ้าเราพูดชัดเจน เคลียร์ ตรงไปตรงมา เค้าจะฟังเรา แต่ถ้าอึกอักๆ ไม่แน่ใจ เกรงใจ เค้าจะขอให้เราทำโน่นนี่ ตัวโฮสเองเค้าก้อจะไม่เคลียร์เพราะเราเซย์ เยส ตลอด
ถ้าเป็นออแพร์อเมริกา ปรึกษาแอล หรือที่ counseling office แต่ยุโรปนี่ต้องปรึกษาตัวเอง หรือไม่ก็เพื่อน เพราะไม่มีที่ปรึกษาเหมือนฝั่งอเมริกา
อีกตัวเลือกนึง ถ้ารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบเกินไป วิธีสุดท้ายคือ changing host families เปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนครอบครัวใหม่ไปเลย หรือที่เรียกว่า 

"รีแมช"


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต






ออแพร์ขำๆ ไม่ซีเรียส



คุณเป็นออแพร์ประเภทไหน มี 5 แบบ




ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต


1.คุณเป็นออแพร์ที่เซนซิทีฟ - คาดหวังไว้อย่างดีก่อนมาว่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆ แต่พอมาแล้วเผชิญกับความจริงแต่ละอย่างน่าผิดหวัง โหดร้าย เจอโฮสแย่ เจอเด็กโคตรซน เจอโฮสตามใจลูก เจอบลาๆๆ ทำไงละ ร้องไห้ โฮมซิคคิดถึงบ้าน ไม่เอนจอยกับสิ่งใดๆ สุดท้ายรีแมช ดีไม่ดีโฮสรีแมชก่อนเอง

2.คุณเป็นออแพร์ที่สปอยล์ - ถูกตามใจมาก่อน ทำไมล่ะ ก็ชั้นไม่เคยทำงานบ้านนิ ชั้นไม่เคยทำความสะอาดจานชาม โอ้ววว ชีวิตชั้นออกจะเริ่ดด แต่สุดท้ายคุณก็จะเรียนรู้เองว่า ออแพร์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด อย่างที่รีวิวในกระทู้ เหนื่อยนะคะ เหนื่อย ชีวิตจริงค่ะ

3.คุณเป็นออแพร์ที่ขี้โกรธ และเข้มงวด - อารมณ์เสียประจำเมื่อโฮสไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ อยากตะโกนว่า "เด็กฝรั่งน่ะถูกตามใจมากเกินไปนะ" แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ อดทนต่อไป "เด็กประเทศชั้นไม่มีพฤติกรรมแบบนี้น่ะ"

4.คุณเป็นออแพร์ที่ขี้หลงขี้ลืม - ลืมนั่นลืมนี่บ่อยๆ แต่ไม่ลืม เงิน เงินเดือนน่ะ... ทำไมต้องให้ทวงบ่อยๆ แต่เค้าบอกว่าออแพร์ในข้อนี้ เป็นออแพร์ที่ nice เลยแหละ

5.คุณเป็นออแพร์เพอร์เฟ็ค - ที่สุดละ เป็นนางงามรักเด็ก เด็กรัก อยู่กับเด็กง่ายถึงจะดื้อก็เหอะ สอนเด็กได้ มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับเด็ก ขนาดโฮสพ่อยังต้องฟังคุณ

จริงไม่จริงไม่รู้ เอามาลงขำๆ ให้อ่าน จากนิยายออแพร์อเมริกา 5 บุคลิก ...แต่ยืนยันนะ เด็กฝรั่งบทจะน่ารักก็น่ารัก บทจะดราม่าสุดๆๆ


                                   
http://relokate.eu/day-life-au-pair

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Au pair duties.


หน้าที่ออแพร์อเมริกาหลักๆ คือดูแลน้อง ไม่ต้องทำงานบ้าน บางบ้านจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด หน้าที่หลักๆ ของออแพร์คือ

1.ดูแลเด็กๆ เด็กเล็กหรือเด็กโตขึ้นอยู่กับแต่ละบ้าน ปลุกเด็กให้ตื่น เตรียมอาหาร เด็กเล็กงานจะหนักหน่อย ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว เปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนนม ป้อนอาหาร เข็นรถเข็นออกไปเดินเล่น ฯลฯ ถ้าเด็กโตหน่อย ก็ไปรับไปส่งที่โรงเรียน ออแพร์ขับรถไปส่งเอง ถ้าบ้านใกล้ก็เดินไปส่ง
2.ดูแลความสะอาด ความเรียบร้อย จิปาถะเช่น พับ - ซัก - เปลี่ยน - เสื้อผ้า - ล้างขวดนม - ทำความสะอาดห้องเด็ก - ห้องของเล่น
3.เตรียมอาหารแต่ละมื้อของเด็ก บางที่มีห่อข้าวไปกินที่โรงเรียนเตรียม Lunch box ด้วย อาหารทำไม่ยาก ขนมปังเป็นหลัก
4.บางบ้านออแพร์ช่วยดูน้องเรื่องการบ้าน วันนี้ทำการบ้านยัง การบ้านมีรัย พรุ่งนี้เรียนรัย อันไหนเอาไป เตือนความจำกิจกรรมต่างๆ (บางบ้านก้อไม่ต้อง ผู้ปกครองจัดการ)
5.จัดกิจกรรมให้เด็ก เช่นวันหยุดพิเศษ จะไปไหนทำอะไร ไปมีส่วนร่วมนิดนึง หรือทำกิจกรรมในบ้าน อ่านหนังสือ เล่นกีฬา อ่านหนังสือเวลาว่างๆ เด็กๆ จะชอบมาก

หลักๆ ก็มีเท่านี้.... ทำงานที่เกี่ยวข้องกันกับเด็กเท่านั้น ทำสวน ล้างรถ หรือนอกเหนือจากนี้ เป็นหน้าที่ที่โฮสจะต้องจัดการบริหารเอง

ทำงานไม่เกิน 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
หยุดปกติ 1.5 วันต่อสัปดาห์
หยุดเสาร์-อาทิตย์ติดกัน 1 สัปดาห์ใน 1 เดือน
หยุดได้ 2 สัปดาห์ใน 1 ปี ไม่ต้องทำงาน แต่ได้รับค่าแรงเหมือนเดิม คือเทคโวเคชั่นนะเอง



Au pair schedule


ตัวอย่างตารางเวลาทำงานของออแพร์อเมริกา


สมมติว่าได้เลี้ยงเด็ก 2 คน คนหนึ่งไปโรงเรียน คนหนึ่งยังเล็กอยู่ ประมาณขวบกว่า ชื่อ "มานี" และ "มานะ" บ้านนี้ออแพร์ไปส่งเด็กที่ป้ายรถเมล์ มีรถโรงเรียนมารับ

Here you can find a sample of a daily schedule:
08:00 a.m. – Prepare breakfast for the Manee and Mana 
- เตรียมอาหารเช้าเด็กทั้งคู่
08:20 a.m. – Get Mana ready for school
- ไปโรงเรียนกับมานะ
08:45 a.m. – Take Mana to the bus stop
- รอรถที่ป้ายรถเมล์
10:00 a.m. – Play with Children at yard
- ส่งคนโตแล้ว กับมาเล่นกับคนเล็กที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
12:00 p.m. – Eat lunch with Manee
- กินอาหารกลางวันกับมานี
02:00 p.m. – Put Manee down for a nap
- พามานีไปนอน
03:30 p.m. – Pick Mana up from bus stop
- ไปรับมานะที่ป้ายรถเมล์
04:00 p.m. – Prepare a snack for Mana, help him with his homework - เตรียมของว่างให้มานะ หลังกลับมาจากโรงเรียน และช่วยดูเรื่องการบ้าน
05:00 p.m. – Host parents arrive home
- โฮสพ่อแม่กลับมาจากทำงานมาบ้าน
06:00 p.m. – Dinner with the family
- กินข้าวร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา
After 6 p.m. - Private Time
- เวลาส่วนตัว ทำอะไรก็ได้ พักผ่อน



ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


สรุปออแพร์บ้านนี้ ทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวัน ช่วงที่เด็กหลับออแพร์ไม่ได้ทำอะไรหรือว่าง แต่ต้องคิดเป็นเวลาทำงานของออแพร์ ไม่ใช่คิดเฉพาะเวลาที่ทำ

ออแพร์บ้านนี้ไม่ต้องทำกับข้าว โฮสกลับมาทำกินร่วมกัน บางบ้านอาจซื้อพิซซ่ามาอบ หรือสำเร็จแล้วมาเวฟ อบเพิ่ม พร้อมกินได้

เป็นตารางเวลาทำงานปกติ อาจมีเปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่นกว่านี้ได้ 10 ชั่วโมงถือว่าหนักเหมือนกัน ต่อให้ไม่ได้ทำตลอด

** a.m - เที่ยงคืน - เที่ยงวัน
p.m - เที่ยงวันไปแล้ว - เที่ยงคืน

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Expect Perks


สิทธิประโยชน์ที่ออแพร์จะได้รับ

นอกเหนือจากออแพร์จะมีห้องนอนเป็นของตัวเอง  มีอาหารการกินแล้ว  ออแพร์ฝรั่ง และตัวพี่เองมีคำแนะนำสำหรับออแพร์มือใหม่ว่า  


1.สิ่งที่โฮสต์ควร offer ให้แก่เรา  เช่น ในอเมริกา  ออแพร์สามารถขับรถ  ใช้รถของโฮสต์ได้  แต่ถ้าโฮสต์ไม่ให้ขับ  โฮสควรจะพาออแพร์ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง  หรือขับรถไปส่ง หรือไม่ก็ให้ยืม  บัตร   travel card ฟรี   ที่ยุโรป  ออแพร์ไม่ได้ขับรถเอง  ระบบในยุโรปมีโรงเรียนที่ใกล้กับบ้านมาก  ออแพร์จะเดินไปรับเด็ก หรือนั่งรถไฟใต้ดินไปรับก็ได้  หรือโฮสต์ต้องการให้ออแพร์ไปจ่ายตลาดบ่อยๆ โฮสต์จะมีบัตร travel card ให้ใช้ติดตัว  กรณีอยู่ในเมือง  การคมนาคมสะดวกสบาย  แต่ถ้านอกเมือง  โฮสจะขับรถไปรับไปส่งตามเวลาที่สะดวก  นี่คือสิ่งที่โฮสต์สามารถทำให้ออแพร์  

2.เรื่องที่พักอาศัยตามกฎเลย  ออแพร์ต้องมีห้องนอนเป็นของตัวเอง  แต่ห้องน้ำจะแชร์ร่วมกันกับโฮสต์ก้อได้  ออแพร์ส่วนใหญ่มีห้องนอนและห้องน้ำเป็นของตัวเอง  บางคนอาจมีครัวเพิ่มด้วย  ออแพร์บางคนไม่มีห้องนอนเป็นของตัวเอง (ผิดกฎ) แต่มีผ้าม่านกันเป็นห้อง แต่ก็อยู่ร่วมกันกับโฮสได้อย่างมีความสุข  โฮสต์อาจจะดี  อาจจะแฟร์  ฝรั่งเค้าจะไม่มายุ่มย่ามอะไรกับพื้นที่ส่วนตัวของเรามาก  จะขออนุญาตหรือบอกกล่าวทุกครั้งหากมาทำธุระอะไรบริเวณที่ส่วนตัวของออแพร์  อีกทั้งเด็กลูกๆ ของโฮสต์ไม่ได้รับอนุญาตให้มาเล่นห้องนอนของออแพร์  คือเค้าเคารพความเป็นส่วนตัวมาก  เด็กที่โตแล้วจะรู้เรื่องนี้  ส่วนเด็กเล็กๆ  ผู้ปกครองจะมีวิธีบอกให้เข้าใจ


ภาพถ่ายจากหน้าต่างห้องนอน  ห้องอยู่ชั้นล่างติดถนน 
มีกระจกรอบด้าน ตอนอยู่กับโฮสต์ในฟาร์ม อากาศสดชื่น วิวดี

3.อาหารการกิน  ปกติออแพร์กินร่วมกันกับโฮสต์มื้อเย็น   แต่มื้อเช้าก็กินแบบตัวใครตัวมัน  เพราะแต่ละคนมีหน้าที่การงาน  ไม่มีใครมาร่วมวงกินเหมือนดินเนอร์ตอนเย็น   ฝรั่งจะกินอยู่ง่ายๆ ซื้ออาหารสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จเอามาทำกิน  อบ ย่าง ปิ้ง ต้ม  เวฟ ง่ายๆ แต่ก็มีเพียงบางบ้านที่อาจขอให้ออแพร์ทำอาหารให้สัปดาห์ละครั้ง  ออแพร์เปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัว  ดังนั้น  ออแพร์กินร่วมกับโฮสต์ได้หมด  โฮสต์กินอันไหน  ออแพร์ก้อกินอันนั้น  ไม่มีมาหวง  อนุญาตให้กินได้ตามอัชฌาสัย  หรือบ้านไหนนิยมอาหารไทย  ออแพร์ไปจ่ายตลาดก็ซื้อเข้าทำกินกับโฮสต์ได้  บางบ้านโฮสใจดีจ่ายเงินค่าอาหารให้ออแพร์เอาบิลมาเบิกได้


 โฮสบางบ้านชอบกินอาหารไทย  จัดเมนูยอดฮิตผัดไทยให้ซ้าา ...

                      
 ครอบครัวจะกินอาหารแบบพร้อมหน้าพร้อมตา  รวมทั้งออแพร์ด้วย
   


 อร่อยเด็ดเมนูนี้

ไวน์ขาวไร้สารพิษแก้วนี้

                                                     
4.เรื่องการเรียน  ปกติออแพร์จะต้องได้เรียน  ที่อเมริกาออแพร์ต้องได้เรียนภาษาหรืออะไรก็ได้เลือกเรียนตามชอบตามสะดวก   สถานที่เรียนขึ้นอยู่กับออแพร์  แต่ใกล้บ้านสะดวกที่สุด  ออแพร์ในอเมริกาทำงานค่อนหนัก  ดังนั้นสถาบันจึงมีคอร์สเรียนตอนเย็นให้ด้วย  ออแพร์ต้องเรียนให้ครบ 6 หน่วยกิต หรือ 800 ชั่วโมง  เวลาเรียนตกลงกับโฮสเอง  บางเอเจนซี่บังคับเลยว่าออแพร์ต้องลงเรียน  ถ้าไม่เรียนจะไม่ได้เงินค่ามัดจำ  500  USD  คืน ตั๋วขากลับต้องออกเอง  อันนี้เป็นสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ของออแพร์  ในยุโรปออแพร์จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ (หลายคนไม่เรียน  ทำงานเหนื่อย ที่เรียนไกลบ้าง อะไรบ้าง โฮสไม่ให้เรียนบ้าง)  แต่ไม่มีการหักค่าโครงการคืน  ออแพร์บางคนไม่เรียน  โฮสต์ดีใจ ไม่ต้องจ่ายค่าเรียนให้ออแพร์ ประหยัดค่าใช้จ่ายไป  แต่ออแพร์บางคน  โฮสต์ก้อไม่ให้เรียน  เพราะเห็นว่าเป็น "แค่ออแพร์"  เรียนไปทำไม (จริงๆ ไม่ได้นะ  ต้องเรียกร้องเรียนให้ได้  โฮสทำไม่ถูก  ขี้เหนียว) โฮสและออแพร์ต้องจัดสรรเวลาที่เหมาะสม  ยืดหยุ่น  ออแพร์หาเวลาเรียนโฮสจะต้องปรับตารางบางอย่างให้เหมาะสมกับออแพร์ด้วย  ไม่ใช่ว่าตามกฎได้เรียน  แต่ถึงเวลาจริง  เราต้องถามย้ำก่อนแมชว่าเราได้เรียนหรือไม่  ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก่อนแมชควรขอดูตารางทำงานของเราด้วย  ถามให้ชัด  ถามให้เคลียร์เพื่อประโยชน์กับเราเอง  

*** ถ้าออแพร์ไม่เรียนเอง  หรือโฮสไม่ส่งให้เรียน  เวลาผ่านไปแล้ว  ออแพร์ไม่สามารถเรียกร้องค่าเล่าเรียนเป็นเงินสดได้  ผ่านแล้วผ่านเลย  ดีที่สุด  ออแพร์ต้องใช้สิทธิ์นี่้ให้เป็น  เพื่อเปิดโลกทัศน์  จะได้มีเพื่อนเพิ่มขึ้น  เรียนรู้อะไรใหม่ๆ   



ไข่คน ฝีมือโฮสแม่ทำ มื้อเช้า  ออแพร์ก็กินด้วย



มะกะโรนีร้านอิตาเลียน  ไปกินกับโฮสต์



5.จิปาถะอื่นๆ เช่นค่าโทรศัพท์  ออแพร์ควรออกเอง  แต่บางโฮสใจดี  ช่วยค่าโทรศัพท์ออแพร์ก็มี  โฮสบางคนอาจมีซิมการ์ดให้ออแพร์ใช้ฟรี  ไม่ต้องเสีย   อันนี้ขึ้นอยู่กับความใจดีของโฮส  ไปเรียกร้องไม่ได้   จิปาถะอื่นๆ เช่นบางบ้าน โฮสต์มีทีวี  ตู้เย็น  คอมพิวเตอร์ให้เล่นฟรี   ของพี่โฮสให้ยืมไอโฟนบ้าง  ไอแพดบ้าง  แม็คบุ๊คบ้าง  ให้ยืมหมดไม่ขี้เหนียว 



เมนูอิตาเลียนเค้า  ร้านคนอิตาลีจริงๆ ทีเมือง Søn Norway


พิซซ่านี่ก้ออแพร์กิน  มังสวิรัติหมด
6.ค่าตั๋ว  ค่าวีซ่า  ออแพร์อเมริกาต่างจากยุโรปตรงนี้  ไม่มีเอเจนซี่หรือโฮส  ออกให้ขาไป ค่าตั๋ว หรือค่าปฐมนิเทศน์  หรืออยู่จนจบโครงการถึงได้ค่าตั๋วขากลับ  พร้อมใบประกาศออแพร์กลับมาด้วย  แต่ออแพร์ยุโรป  เป็นผู้ออกค่าตั๋ว  ค่าวีซ่าเองแต่ออแพร์อาจตกลงกับโฮสให้ช่วยวีซ่าหรือออกคนละครึ่งก็ได้  อยู่ที่การตกลงว่าโฮสจะ offer เราหรือเปล่า ถ้าไม่เราต้องออกเอง  โฮสส่วนใหญ่จะเจอคำถามแบบนี้จากออแพร์  รวมทั้งเอเจนซี่ด้วย  ทางเอเจนซี่จะบอกโฮสทางอีเมล์ว่า หน้าที่ของออแพร์ควรจ่ายค่าตั๋วเอง หรือออแพร์ถามเอเจนซี่  เค้าจะเซย์ "โน" ทันที  เค้าไม่อยากให้โฮสจ่ายเยอะ  เนื่องจากเค้าจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ กับเอเจนซี่แล้ว  

สิทธิประโยชน์ที่ออแพร์ควรได้รับตามที่ออแพร์รับรู้แหละ แต่พิเศษว่าโฮสจะ offer  อะไรให้  ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นและหน้าที่ทั้งออแพร์และโฮสต์เองใครเป็นออแพร์จะได้ยินคำนี้บ่อยๆ "Flexible" ออแพร์ไทยนิสัยขี้เกรงใจ บางคนถูกเอาเปรียบเพราะความเกรงใจ พี่ไม่ได้ให้ออแพร์เรียกร้องกับโฮสแต่เอามาเป็นแนวปฎิบัติให้เหมาะสม ได้รู้ว่าควรได้รับสิทธิประโยชน์อะไรออแพร์ฝรั่งที่ไม่ได้มาจากประเทศยากจน หรือมาจากญี่ปุ่นจุดประสงค์เพื่อท่องเที่ยวมีประสบการณ์นั่นนี่ แลกเปลี่ยน ฯลฯ ตามวัตถุประสงค์ของออแพร์จะไม่ค่อยถูกเอาเปรียบ  เพราะเข้าใจคำว่าออแพร์อย่างดี ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมกับที่เป็นออแพร์ และต่อรองเป็นเพราะเค้ารู้ว่าเค้ามาทำอะไร ไม่มีคำว่าเกรงใจ ถ้าพูดก็คือพูดเลยดังนั้นโฮสเองก็ปฎิบัติแตกต่างระหว่างออแพร์เอเชียออแพร์ฝรั่งที่มาจากประเทศยากจน เช่นเปรู  หรือออแพร์จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นออแพร์เยอรมัน  ออแพร์ฝรั่งเศส
ออแพร์ญี่ปุ่น  


ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้อง
1.Perks  - สิทธิประโยชน์/ผลประโยชน์/สิทธิพิเศษ
2.offer  - เสนอ  นำเสนอ  มอบ 
3.Flexible - ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม 


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Choosing Location City or Country.



สำหรับออแพร์   ตัวช่วยที่จะเลือก  Host family อีกอย่างก็คือ Area หรือพื้นที่  ที่เราจะไปอยู่ด้วย  ออแพร์หลายคนตื่นเต้น  อยากไปเที่ยว  ไปแฮงค์เอาท์  แต่บางคนก็ชอบอยู่กับธรรมชาติ  การเลือกสถานที่ก็มีความสำคัญ  เป็นปัจจัยที่จะเลือกโฮสต์ด้วย  (ไม่แค่ออแพร์ นักเรียนที่ไปนอกก็ควรรู้) 



เปรียบเทียบให้ดูระหว่างเมืองกับนอกเมือง 

City - การคมนาคมสะดวกสบาย ถ้าอยู่ใน Downtown เช่นนิวยอร์ค วอชิงตัน บอสตัน  ชิคาโก เมืองใหญ่ ไม่ต้องพูดถึง Subway, Amtrak แท็กซี่ บัส เมล์ วิ่งกันตลอด อย่างเมืองหลวงออสโลนอร์เวย์ ซื้อตั๋วเดียวไปได้ทั้งโซนที่เค้ากำหนด กว้างมาก ไม่ต้องซื้อเพิ่ม ตั๋วเดียวเที่ยวทั่ว ทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟใหญ่ บัส หรือแม้กระทั่งเรือข้ามฟาก (ตั๋วมีระยะเวลา ขึ้นอยู่กับประเภทตั๋ว) แต่ถ้าออกจากโซนเมืองหรือไกลกว่านั้น ขึ้นลงแต่ละอย่างจ่ายทุกครั้ง  


Country - รถ เรือ มาเป็นเวลา ถ้าเรากลับดึกดื่นตกรถตกรา รอทีเหงือกแห้ง ยิ่งถ้าดึกขอโทษค่ะ รถหมด แท็กซี่เท่านั้น  แท็กซี่นอกเมือง ไม่ใช่อยู่ๆ เดินไปโบกนะ  ที่เมกาต้องโทรจอง ถ้ารู้ว่ากลับไม่ทัน แต่นอร์เวย์ไม่ต้อง  แค่สบตาพี่แท็กซี่ก้อมาแล้ว  พี่เค้ารู้งาน  สตาร์ท 500 บาท  จะไกลจะใกล้ 50 เมตรก็ 500 บาท  ที่นอร์เวย์นะ  นั่งบ่อย  

ส่วนแท็กซี่ที่่สนามบิน  ถ้าเราเดินออกมาสักหน่อย  จะมีคิวแท็กซี่จอดเต็มตามคิวอยู่  เข้าไปเรียกได้ ไปประเทศไหนก็เห็นแท็กซี่เรียกได้เลย  มีแต่ประเทศเรานี่แหละลองไปทะเลอทะล่าเรียกแท็กซี่คันที่หลงเข้ามาในสนามบินสิ  แท็กซี่คันนั้นโดนเละเลย  

*Taxi เมกาเหมือนบ้านเราที่ไหน  ไปกี่คนก็ยัดได้หมด  ที่นี่นั่งตามเบาะ  รวมคนขับนั่งได้แค่ 4 คน  เกินนั้นต้องเรียกแท็กซี่คันใหญ่  มานั่งยัดเยียดเบียดเสียดขี่กันบนตักเหมือนบ้านเราไม่ได้  

** ต้องจ่าย Tip ด้วย ไม่ใช่พอถึงที่สะบัดตูดไป   พี่แกจะตามไม่ลดละเลย  ธรรมเนียมเมกาต้องจ่ายทิป อยู่ที่ประมาณ 10%  ดูดีหน่อยจ่ายไป 15% อย่าว่าแต่แท็กซี่เลย  สากกะเบือเรือรบ  อะไรที่เกี่ยวกับบริการควรให้ทิปเค้า  เช่นตัดผม  ไปพักค้างที่โรงแรม  ไปสั่งอาหารกินที่ร้าน ก็ต้องทิป  จะเป็นร้านจีนร้านเวียดนามก็ควรให้ทิป  

City - ไม่เหงามีผู้คนพลุกพล่าน  ไปไหนก็คน  มีร้านอาหาร  แหล่งช็อปปิ้ง สถานบันเทิง แหล่งเอ็นเตอร์เทนต่างๆ  เพื่อนๆอยู่ในเมืองกันเยอะ  แต่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษเยอะกว่า  ผู้คนเร่งรีบขวักไขว่ เฉยเมยมากกว่า  

Country -  หว่าเว้  เหงา  สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย  แต่ปรับตัวสักพักก็ชิน จะรู้สึกว่า โอ้โห บ้านนอกนี่ยอดเยี่ยมนะ  ทั้งสงบ  ธรรมชาติก็สวย  มีเวลาอ่านหนังสือ ทำโน่นนี่นั่น พักผ่อนได้เยอะเลย  ผู้คน  สิ่งแวดล้อมเป็นมิตร  ผู้คนจิตใจดีกัน  เพราะเค้าอยู่กับธรรมชาติมากกว่า 

City - อยู่ในเมือง  ถึงบางที่ตั๋วเดียวเที่ยวได้โลด  อย่าลืมว่าเวลาเราไปในเมือง  อดที่จะไม่เที่ยว ช็อปปิ้งกระหน่ำซัมเมอร์ได้หรือเปล่า  ต่อให้ค่าเดินทางน้อย  แต่ค่ากิน ค่าเที่ยว  สิ่งล่อตาล่อใจเยอะ  เงินจะเหลือมั้ยเนี่ย...  

Country -  เก็บตังค์ได้เยอะกว่า  เพราะเราไม่ได้ไปช็อปตลอด  อยู่บ้านบ้างอะไรบ้าง  มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น  เก็บตังค์ไว้เที่ยวทีเดียว  เวลาเราได้วันหยุดเยอะๆ ไปเลยค่ะ  เอางบนี้ไปเที่ยวเลย 

City - มีแสงสีบันเทิง จัดงานบ่อย  สำหรับคนชอบเที่ยว อันนี้ดีมาก  แต่เหนื่อยหน่อย  ต้องตื่นเช้ามาทำงาน  ยิ่งเป็นออแพร์ต้องเก็บหอมออมแรงกับเด็กอีก

Country - อุ๊ย อย่าว่าคันทรีไม่มีนะคะ  แสงสีเค้าก็จัดตลอดเหมือนกัน  แต่เราต้องอัพเดตข้อมูลข่าวสาร อย่าลืมไปว่าผู้คนก็ชอบเที่ยว  เค้าต้องมีกิจกรรมอะไรบ้างแหล่ะ ตามรัฐ ตามเมืองที่เราอยู่ เราก็ไปแจมประปรายได้  

City - ส่วนใหญ่เดินทางโดยขนส่งต่างๆ ไม่ค่อยได้ออกกะลังกายขี่จักรยาน  บางที่อาจขี่ แต่คนจอแจเหลือเกิน  อากาศก็แย่งกันสูด  

Country - ได้ขี่จักรยาน  สูดอากาศเต็มปอด ไม่ต้องห่วง  มีเลนจักรยานให้ สูดเข้าไปอากาศต่างประเทศ  โอโซนเยอะกว่า

จะอยู่ในเมืองหรือจะอยู่นอกเมืองก็ต้องวางแผนการเดินทางทั้งนั้น  อเมริกาเดินทางสะดวกก็จริงแต่ว่า ต้องตรงเวลา  กางแผนที่ไว้เลย แผนที่รถจะมากี่โมง  จุดนี้รถมาถึงนี้  กี่โมงจะมาถึงเรา  คู่มือรถ รา เรือ เมล์หาได้ตามป้ายรถเมล์  หรือ Tourist Information  ไปหยิบเอามาดูเก็บไว้  ตกรถนี่ต้องรถใหม่อีก เค้าไม่มานั่งรอรถกันเป็นชั่วโมง  เมื่อไหร่รถจะมาว้าา....  ก่อนรถมา 5-10 นาที เค้าจะมานั่งรอกัน  การคมนาคมประเทศที่พัฒนาแล้วสะดวกสบาย  รู้เวลาล่วงหน้าได้  

ที่เมกามีตั๋วเรียกว่า off-peak เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าชั่วโมงเร่งด่วน  พี่มีประสบการณ์นั่งรถไฟใหญ่  Amtrak นั่งจาก New York  ไป  Virginia Beach  ไม่ได้จองล่วงหน้า  เสียค่าเดินทางเจ็ดพันบาทเกือบแปดพัน  แต่ถ้าพรุ่งนี้เหลือแค่สี่พันบาท  ก้อไม่คิดจะหาโรงแรมนอนนะ  จะไปให้ได้  รีบจัด ก็ต้องเสียตามนั้น  นี่คือตั๋วในชั่วโมงเร่งด่วนน....วางแผนการเดินทางดีที่สุด  

ถ้าใครมี Student Card  >>> International Student Identity Card - ISIC
เอาไปลดค่าโดยสารได้   เด็ก Work And Travel  บางบริษัทจะทำบัตรนี้ให้  ถ้าเราเป็นคนเดินทางบ่อย  ซื้อบัตรโดยสารรายสัปดาห์  รายเดือน หรือรายปีไปเลยจะถูกมากกว่ารายวัน  

นอกเมืองที่ไม่ใช่ City เค้าก็จะมี Downtown ในตัวเมืองทุกเมืองแหละ  เพียงแต่ไม่เป็นแบบ City  เท่านั้น  เที่ยวซื้อของได้ตลอด มีห้าง มีแหล่งบันเทิงเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงตรงนี้  ถ้าไม่ได้ไปอยู่ในแถบภูเขาซะก่อน 


การเลือก Area ก็เป็นโอกาสที่จะเปิดโลก  เปิดประสบการณ์ของแต่ละคนด้วย  แต่ไม่ว่าอย่างงัย จะบ้านนอกแค่ไหน ต่างก็มีความสวยงามในมุมนั้นๆ  หาโอกาสเรียนรู้   เที่ยว ทำความรู้จักในมุมต่างๆ ให้มากที่สุดด....ถึงเรียกว่าประสบการณ์  


คำศัพท์  

Amtrak - รถไฟใหญ่  รถไฟที่วิ่งทั่วไปเหมือนรถไฟที่อยู่ในหัวลำโพงเมืองไทยนั่นแหละ  ถ้าเรียกรถไฟเฉยๆ คนอาจเข้าใจได้ว่าเป็น รถไฟใต้ดิน 

railway -  ไปเจอคำนี้รู้เรยว่าเกี่ยวกับรถไฟแน่ๆ 

Subway - รถไฟใต้ดิน  จะเรียก Metro ก็ได้   แต่ป้ายเขียนให้เห็นๆ เลยว่า Subway (รถไฟใต้ดิน  ไม่ใช่ร้านอาหาร) 

Greyhound - เป็นศัพท์ที่เรียกรถบัส  ถ้าเราพูดคำนี้คนเข้าใจมากกว่าคำว่าบัส  ถ้าเราเดินทางไปต่างเมืองโดยรถบัส  ต้องใช้คำนี้ เกรย์ฮาวนด์  เป็นบริษัทรถที่มีขนาดใหญ่  ให้บริการเกือบทุกรัฐในอเมริกา ป๊อบปูลาร์มาก (เป็นชื่อบริษัทรถบัสนะ  ไม่ได้แต่แปลว่าบัส)

Intercity Bus - บัสระหว่างเมือง  จะไปกับบริษัทไหนไม่มีปัญหา  ใช้เรียกรถบัสที่เราจะไปยังต่างเมือง  

นอกจากนี้ยังมีศัพท์แท็กซี่อีก  เมกาเค้าเรียกแท็กซี่ว่าแท็กซี่แหละ  แต่อีกคำคือ "cab" ก็คือ Taxi บางทีเค้าไม่พูดอย่างเรา  เค้าพูดแค่  แค้ป - cab เท่านั้น  

เวลาเราโบกแท็กซี่  ไม่ใช่เอามือเข้าไปกวักๆ เรียก หรือโบกเหมือนที่เราโบกในไทย  แต่ให้ใช้หัวแม่มือชี้ตั้งขึ้น เหมือนกับชมว่ายอดเยี่ยม  เวลาเรียกรถ  เรียกรา  โบกรถฟรี  ทำสัญลักษณ์มือแบบนี้  เรียกว่า hailing


--------------------------------------------------------------------------------------------

ศัพท์เมืองกับนอกเมือง

บ้านนอก  นอกเมือง  ชนบท  ชานเมือง เราจะเจอคำเหล่านี้  -  countryside Country, Rural, Suburb

ในเมือง ตัวเมือง เมืองใหญ่  -   Urban, City, Downtown, 



จบเรื่องเมืองกับชนบท  หวังว่าคงความรู้ให้น้องๆ ได้เลือกนะคะ  


*** ขอบคุณภาพประกอบจากน้องๆ และเพื่อนๆ ที่เคยร่วมชะตากรรมเดียวกัน